วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค (Larzac)

ชื่อบล็อกคือ "เที่ยวฝรั่งเศสตอนใต้ไปกับนพฬวรรณ" ทว่านพฬวรรณไม่ได้เล่าถึงเรื่องเที่ยวซะเท่าไหร่แต่จะเล่าถึงเรื่องการเรียนรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะมาอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศสตอนใต้ซะมากกว่า ฉะนั้นในการเขียนบล็อกตอนนี้จะพาไปเที่ยวจริงๆล่ะค่ะ

ถ้าพูดถึงภาคใต้ของฝรั่งเศสคนส่วนมากจะนึกถึงเมืองใหญ่ๆเช่น เมืองมงต์เปลิเยร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของฝรั่งเศส, เมืองลิยง(ใหญ่เป็นอันดับที่ 3)ที่ได้รับการขนานนามว่าเมืองหลวงของแสงสว่างนอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงด้านอาหารจนกลายเป็นศูนย์กลางทางโภชนาการที่สำคัญของฝรั่งเศส,เมืองตูลูซซึ่งนับว่าเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการบินของโลก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานแอร์บัส , โรงงานผลิตคองคอร์ดเครื่องบินความเร็วสูง, โรงงานผลิตรถไฟความเร็วสูง TGVรวมถึงเป็นที่ตั้งของสถาบันศึกษาอวกาศแห่งชาติตูลูซซึ่งได้ขึนชื่อว่า"นาซ่าแห่งยุโรป", แคว้นโพว็องว์ที่มีท้องทุ่งอันสวยงามไปด้วยสีม่วงและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์  หรือเมืองท่าที่สำคัญของประเทศอย่างมาร์คแซย์ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ2ประเทศ  ฯลฯ ซึ่งเมืองใหญ่ๆที่กล่าวเป็นตัวอย่างนั้นส่วนมากจะมีผู้เขียนถึงการไปเที่ยวเมืองเหล่านี้แล้วจำนวนมาก ฉะนั้นนพฬวรรณจะขอพาไปเที่ยวขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซคLarzac ในเขตเมืองคอแดซ(Rodez : เห็นชื่อเมืองก็ไม่คุ้นแล้วใช่ไหมล่ะ..อิอิ)ซึ่งนับเป็นเมืองศูนย์กลางทางเกษตรกรรม และการไปเที่ยวในครั้งนี้ก็สร้างความประทับใจในธรรมชาติและทำให้เห็นฝรั่งเศสในอีกมุมหนึ่งที่มีความเป็นชนบทและธรรมชาติจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเริ่มเรื่องเลยนะคะ..

เจ้าหน้าที่ของศาลากลางจังหวัดเอโร Hérault ที่ตั้งอยู่เมืองมงต์เปลิเยร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งชาติของเมืองมงต์เปลิเยร์ร่วมกันจัดนำเที่ยวสำหรับครอบครัวของ 2 กลุ่มข้าราชการนี้โดยใช้ชื่อทริปว่า " Journée familiale et culturelle dans l' Aveyron, dimanche 18 septembre 2016 ซึ่งหมายถึงประมาณว่าวันครอบครัวและวัฒนธรรมในจังหวัดอเวรอน(Aveyron),ในวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ย.2559" แว๊บแรกที่เห็นชื่อจังหวัดที่จะไปเที่ยวกันนพฬวรรณรู้สึกเฉยๆเพราะไม่เคยได้ยินชื่อจังหวัดนี้มาก่อน แต่พอได้อ่านรายละเอียดของกิจกรรมในทริปนี้ซึ่งมี 3 กิจกรรมด้วยกันคือ 1.ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค 2. ทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่หมู่บ้าน Gaillac(กายล้าก)ซึ่งเป็นการปรุงอาหารตามแบบฉบับของชาวอเวรอนและ 3.ตอนบ่ายไปเที่ยวชมพิพิทธภัณฑ์ที่ีแสดงให้เห็นถึงประเพณีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่อยู่ทางใต้ของจังหวัดอเวรอน พอทราบถึงกิจกรรมในทริปนี้เท่านั้นแหละค่ะ..รีบตัดสินใจไปทันทีโดยไม่ถามถึงสุขภาพของตนเองและสามีซักคำ(ว่าไหวไหม..อิอิ)

ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค(Larzac) :
ความที่ไม่เคยได้ยินชื่อของจังหวัดนี้มาก่อน ก่อนจะไปเที่ยวจึงหาข้อมูลของจังหวัดนี้สักหน่อยทำให้ทราบว่า จังหวัด อเวรอนนี้เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในแคว้น Occitanie เป็นชื่อแคว้นใหม่ที่รวมแคว้น Languedoc-Rousillon กับ Midi-Pyrénéesเข้าด้วยกัน (การปรับเปลี่ยนการจัดแคว้นใหม่เพิ่งจะปรับใช้เป็นทางการในวันที่ 29 กย. 2016)ซึ่งเป็นแคว้นเดียวกับเมืองมงต์เปลิเยร์ที่ตนเองและสามีทำงานอยู่ และจังหวัดอเวรอนนี้อยู่ทางทิศเหนือของเมืองมงต์เปลิเยร์ ซึ่งเมืองหลวงของจังหวัดอเวรอนนี้คือ รอแดซ( Rodez) และสถานที่ที่จะไปขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์นี้อยู่บนภูเขา Larzac ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และ Larzacยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติCausses ที่ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกในด้านภูมิทัศน์วัฒนธรรมของการเกษตรในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2011 นี้ด้วยค่ะ (https://translate.google.fr/translate?hl=th&sl=fr&u=http://hautes-cevennes.com/%3Fpage_id%3D868&prev=search)

พวกเราออกจากมงต์เปลิเยร์ประมาณ 07.30 น.ด้วยรถบัสขนาดใหญ่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือสถานีรถไฟSainte Eulalie de Cernon ( แซนเตอะ เออลาลี เดอ เซค์นง)พอลงจากรถบัสทุกคนก็สัมผัสได้กับอากาศที่หนาวเย็นและสั่นหงั่กๆไปตามๆกัน ก็ตอนอยู่ที่มงต์เปลิเยร์เมื่อชั่้วโมงที่แล้วยังไม่หนาวอย่างนี้เลย เพราะวันที่ไปเที่ยวเป็นวันที่ 18 กย. นับว่าเป็นปลายฤดูร้อนและกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงซึ่งจะมีอากาศเย็นสบาย(ฤดูใบไม้ร่วงอุณหภูมิประมาณ 15-25 องศา) ทุกคนจึงแต่งตัวแบบฤดูใบไม้ร่วงคือใส่กางเกงขายาว,รองเท้าผ้าใบและใส่เสื้อแจ็กเก็ตคลุมเท่านั้นไม่มีใครใส่เสื้อโค้ทตัวยาวหรือรองเท้าบู๊ทแบบหน้าหนาว แต่อากาศที่นั่นวันนั้นประมาณ 5 องศา มันเกิดอะไรขึ้นพอตั้งสติได้ก็มองไปรอบๆ อ๋อนึกออกแล้วที่หนาวกว่าปกติก็เพราะว่าสถานีรถไฟแห่งนี้อยู่บนภูเขาลาค์แซคนั่นเองที่บนภูเขาย่อมหนาวกว่าพื้นที่ราบเป็นธรรมดาแถมมีลมอีก..ทีนี้ละหนาวกันเข้าไปใหญ่และเรียกว่าหนาวสั่นกันทั้งทริปเลย..หุหุ...

ยืนยิ้มแฉ่งถ่ายรูปกับหัวรถไฟที่ติดป้ายโฆษณาการท่องเที่ยวบนรางรถไฟที่ภูเขา Larzac จะได้รู้ว่าเค้ามาถึงแล้วนะตะเอง..อิอิ..


ความที่ไม่ได้หาข้อมูลก่อนมาเที่ยวจึงมีคำถามในใจว่าทำไมถึงเรียกว่าเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์แต่พอมาถึงสถานีรถไฟSainte Eulalie de Cernon คำถามต่างๆก็เริ่มกระจ่างขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ได้เล่าเกี่ยวกับประวัติของเส้นทางรถไฟสายนี้ว่า..เส้นทางรถไฟสายนี้สร้างมานานแล้วตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 คือสร้างเมื่อปีคศ. 1890(สงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้นปี 1914) และได้หยุดการเดินทางโดยรถไฟเส้นทางนี้ลงในปี1950 หรือเมื่อประมาณ 66 ปีที่แล้ว ที่ต้องหยุดการให้การบริการเดินทางโดยรถไฟเนื่องจากผู้คนเดินทางโดยรถไฟเส้นทางนี้น้อยมากซึ่งไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายต่างๆจึงต้องปิดตัวลงในที่สุด เส้นทางรถไฟนี้อยู่บนภูเขาลาค์แซค ซึ่งที่ราบลุ่มด้านล่างมีหมู่บ้านSainte Eulalie de Cernon ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆและประชากรมีจำนวนน้อยประกอบผู้คนในชุมชนส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรจึงไม่ค่อยมีการเดินทางไปไหน

หลังจากที่ปิดเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟของสถานีแห่งนี้ได้ 59ปี จึงมีบริษัทเอกชนเข้ามาทำการสัมปทานเพื่อจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อปี 2009 โดยจัดให้มีการขี่จักรยานไปตามรางรถไฟ ซึ่งจักรยานนี้คล้ายกับรถถ่อที่เป็นยานพาหนะของเจ้าหน้าที่การรถไฟไทยถ่อค้ำยันให้แล่นไปบนรางรถไฟ แต่ต่างกันตรงที่นี่บนรถถ่อมีจักรยานที่ติดกับรถถ่อ 2 คันซ้าย-ขวาและด้านหลังมี่ที่นั่งได้ประมาณ 2-3 คน  ซึ่งการขี่จักรยานนี้เริ่มจากสถานีรถไฟ Sainte Eulalie de Cernon ไปสิ้นสุดที่สถานีรถไฟ La Bastide Pradines ซึ่งมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร โดยเส้นทางรถไฟนี้จะแล่นผ่านสะพานขนาดใหญ่ 3 สะพานและผ่านอุโมงค์ 4 อุโมงค์ ไฮไลท์ของทริปการขี่จักรยานบนทางรถไฟนี้ก็ตรงที่การชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่าและพืชพรรณไม้นานาชนิด, สะพานหินโค้งแบบยุโรป, กำแพงหินสูง 2ข้างทางรถไฟ, รวมถึงการขี่จักรยานลอดผ่านอุโมงค์ที่มืดตื้อและหนาวมากเนื่องจากไม่มีแสงแดดรอดผ่าน พอผ่านเข้าไปในอุโมงค์มีความรู้สึกทั้งกลัวทั้งสนุกที่กลัวก็เพราะในอุโมงค์ทั้งมืดทั้งหนาว ส่วนที่กล่าวว่าสนุกเพราะไปกันหลายคนทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความสนุกและตื่นเต้น (หรือว่าที่โห่ร้องเพราะกลัวความมืดเหมือนกันเลยส่งเสียงไว้ก่อน..อิอิ) และที่ว่าสนุกๆนี่ให้ขี่จักรยานเข้าไปคนเดียว นพฬวรรณไม่เอาแน่ๆ..หุหุ..เมื่อรอดพ้นอุโมงค์ก็เจอกับแสงสว่างจ้าอีกครั้ง (แสบตากันเลยที่นี้) ครั้นมองลงไปด้านล่างภูเขาก็จะเห็นที่ราบลุ่มด้านล่างและเห็นชุมชนเล็กๆอยู่ลิบๆ นอกจากนั้น 2 ข้างยังมีเจ้าต้นแบล็กเบอร์รี(แต่คนฝรั่งเศสเรียกมูร์ : Mûre)ที่เราสามารถเก็บผลของมันทานได้ ผลที่สุกทานได้จะเป็นสีม่วงส่วนผลสีแดงๆนั้นไม่ทานกันเพราะยังดิบอยู่

สภาพรถจักรยานที่คล้ายกับรถถ่อของเจ้าหน้าที่การรถไฟที่เมืองไทย แต่ที่นี่ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำถ่อ เพราะใช้ 2 ขาปั่นๆๆ..อิอิ
ยิ้มแป้นทำท่าทำทางเหมือนว่าจะขี่จักรยานเองงั้นแหละ..

ที่นั่งด้านหลังของจักรยาน



 ในการขี่จักรยานไปตามทางรถไฟนี้ จักรยานคันของเราคุณสามีกับเพื่อนตำรวจของเธอเป็นคนถีบจักรยานส่วนนพฬวรรณและภรรยาของเพื่อนคุณสามีนั่งกินลมชมวิวอยู่ด้านหลังพร้อมกับความหนาวสะท้าน ช่วงไหนวิวสวยๆ นพฬวรรณก็จะลงไปดูวิวสวยๆของต้นไม้และทุ่งหญ้าด้านล่าง ช่วงไหนเจอลูกแบล็กเบอร์รี พวกเราก็จะหยุดรถลงไปเก็บลูกแบล็กเบอร์รีทานกัน พร้อมทั้งถ่ายรูปเป็นระยะๆ ซึ่งภรรยาเพื่อนสามีขำนพฬวรรณและพูดประมาณว่า.."เธอเหมือนนักท่องเที่ยวชาวจีนเลยเห็นอะไรก็ถ่ายรูปไปหมด"..นพฬวรรณเลยบอกว่าเพราะเราต้องการเขียนบล็อกเล่าเรื่องการมาเที่ยวครั้งนี้ค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าบ้านฉันไม่มีนี่หน่าลูกแบล็กเบอร์รี่อะไรนี่น่ะ บ้านฉันมีแต่ลูกตะขบ..อิอิ ถ้าเธอมาเที่ยวบ้านฉันแล้วเห็นวิวสวยๆ, เห็นควายบ้านฉัน, เห็นกองฟางที่เป็นพุ่มสูงๆเหมือนภูเขา (ต่างจากบ้านเธอที่กองฟางม้วนเป็นก้อนกลมๆเหมือนสก็อตเทป)หรือมาเจอฉันปีนต้นตะขบเก็บลูกตะขบทานแทนที่จะเป็นเก็บลูกแบล็กเบอร์รีทาน เธอก็ต้องตื่นเต้นและถ่ายรูปวิว, รูปควาย , รูปกองฟาง หรือถ่ายรูปฉันปีนต้นตะขบแน่นอน..อิอิ..ที่ฝรั่งเศสตามท้องทุ่งจะเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะกัน ไม่มีเลี้ยงควายแบบบ้านเราและบางเมืองจะเลี้ยงกระทิงกันด้วย อย่างเช่นเมืองAigues Mortesซึ่งเป็นเมืองที่นพฬวรรณอาศัยอยู่และอยู่ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสจะเลี้ยงกระทิงกัน เคยพาลูกสาวไปดูเทศกาลกระทิงที่เมือง Aigues Mortes ซึ่งมีเกษตรกรโชว์การขี่ม้าต้อนกระทิงลงน้ำ ลูกสาวอยู่เมืองไทยไม่เคยเห็นกระทิงตัวเป็นๆมาก่อนเคยเห็นแต่ควาย..เมื่อลูกสาวเห็นกระทิงจึงถามว่าทำไมควายที่นี่ขนเยอะและตัวเล็กจัง เลยบอกลูกไปว่า "ลูกคะ..นั่นนะกระทิงไม่ใช่ควายค่ะลูก..อิอิ"



ขี่จักรยานมาได้นิดนึง..จอดก่อนค่ะ..นพฬวรรณขอถ่ายรูปผู้โดยสารกับ 2พนักงานหนุ่ม(วีไอพี)ที่ขี่จักรยานให้นั่งหน่อย..


ขณะที่รถจักรยานกำลังจะเข้าอุโมงค์

ขณะถีบจักรยานผ่าน2 ข้างทางที่เป็นกำแพงหินสูง





ขณะถีบรถจักรยานอยู่บนสะพานมองเห็นความสวยงามของวิวทิวทัศน์ที่เป็นสะพานหินโค้งแบบยุโรปพาดผ่านหุบเขาและต้นไม้เขียวขจี























โฉมหน้าเจ้าลูกแบล็กเบอร์รีที่เก็บทานสดๆไม่ล้างกันเลย..
ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินป่ากันเลยทีเดียว..อิอิ
ต้นนี้เรียกอะไรไม่ทราบค่ะแต่เพื่อนบอกว่าลูกแดงๆนี้
มีพิษทานไม่ได้ ไม่ได้อยากทานค่ะแค่อยากถ่ายรุปเฉยๆ..





คนทริปนี้เห็นลูกแบล็กเบอร์รี่ปั๊บเป็นหยุดลงไปเก็บทานกันเป็นล่ำเป็นสัน..อิอิ..

 พวกเราใช้เวลาในการถีบจักรยานไป(หนาวสั่นไป)หยุดไปเพื่อชมวิวทิวทัศน์ข้างทางบ้าง เก็บหยุดลูกแบล็กเบอร์รี่บ้างลงไปถ่ายรูปบ้าง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าพวกเราก็มาถึงสถานีรถไฟ  La Bastide Pradines ซึ่งเป็นสถานีรถไฟปลายทางและหยุดให้บริการแล้วเช่นกัน พวกเราก็หยุดพักและซื้อเครื่องดื่มอุ่นๆอย่าง ชาร้อน กาแฟร้อนและช็อกโกแล็ตร้อนดื่มกัน ค่อยยังชั่วหน่อย ช่วงนั่งดื่มเครื่องดื่มร้อนๆก็ไปเจอกับกล่องสี่เหลี่ยมเหมือนบ้านหลังน้อยและทาสีสรรสดใส นั่งส่องดูสักพักเห็นเขียนคำว่า "Miel " แปลว่าน้ำผึ้ง ถึงได้รู้ว่าเป็นกล่องที่ทำเพื่อให้ผึ้งทำรังเพื่อเก็บน้ำผึ้ง และมองไกลออกไปบนภูเขาก็เห็นกล่องแบบนี้หลายใบสีสรรสดใส..รู้แล้วเลี้ยงผึ้งด้วยนี่เอง และก็ได้น้ำผึ้งที่มาจากดอกไม้นานาพันธ์ุติดไม้ติดมือกลับบ้านมาด้วย ราคาจะแพงกว่าน้ำผึ้งที่ซื้อตามซุปเปอร์มาร์เก็ต (ขวดบรรจุ 250 กรัมราคา 5ยูโรประมาณ 200 บาท) แต่เรามั่นใจได้ว่าเป็นน้ำผึ้งแท้ 100% เพราะซื้อจากแหล่งที่ผลิตเองเลย

กล่องที่ทำขึ้นเพื่อให้ผึ้งมาทำรัง(ทาสีซะ) ซึ่งที่เมืองไทยในการเลี้ยงผึ้งก็สร้างกล่องประมาณนี้เช่นกัน

พักเหนื่อยกันสักครู่พวกเราก็เดินทางกลับไปที่สถานรถไฟต้นทางแต่ขากลับไม่ถีบแล้วค่ะจักรยานเพราะพวกเรากลับโดยรถไฟแต่บูกี้ที่นั่งเป็นแบบช่วงหน้าต่างเปิดโล่งให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างทางอีกรอบและพักเหนื่อยกันไปในตัว เมื่อกลับมาถึงสถานีรถไฟต้นทางSainte Eulalie de Cernon แล้ว รถนำเที่ยวก็พาพวกเราไปทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งเป็นการทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในท้องทุ่งกว้างที่หมู่บ้าน Gaillac(กายล้าก)และเป็นการปรุงอาหารตามแบบฉบับของชาวอเวรอน จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านกันในตอนต่อไปนะค่ะ

ขากลับไม่ถีบแล้วจักรยานเพราะสูงวัยกันแล้ว..เลยนั่งรถไฟกลับกันแต่เป็นรถไฟที่ช่วงหน้าต่างเปิดโล่งเพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง..คนอื่นเค้าชมวิวกันแต่พี่ 2 คนอ่ะ คุยไรกันอยู่..เพลินเชียว..คริ คริ..




ช่วงขากลับก็ยังคงฟินกับความสวยงามของธรรมชาติ ยืนเกาะขอบหน้าต่างรถไฟมองดูวิวไปเรื่อยๆและสูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด

















































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

10ข้อคิด: อยู่อย่างไรให้มีความสุขในต่างแดนในฐานะภรรยาฝรั่ง(เศส)


ภาพแห่งการเริ่มต้นการใช้คำนำหน้าชื่อว่าว่า "มาดาม"

ดิฉันห่างหายไปนานกับการเขียนบล็อกเนื่องจากสนุกเพลิดเพลินและเรียนรู้ไปกับการทำงานเป็นเชพปรุงอาหารไทยในร้านอาหารเอเซีย(ร้านเล็กๆ)ในเมืองทางภาคใต้ที่อาศัยอยู่ แต่ช่วงนี้ได้พยายามหาเวลาเพื่อเขียนบล็อกอีกครั้งและเขียนในประเด็น"10 ข้อคิด : อยู่อย่างไรให้มีความสุขในต่างแดนในฐานะภรรยาฝรั่ง(เศส)" เนื่องจากเห็นว่ามีการเขียนกันมากเกี่ยวกับเมียฝรั่งในทัศนคติเชิงลบและกล่าวให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ที่กำลังจะแต่งงานกับฝรั่ง ซึ่งบางประเด็นดิฉันเห็นว่าการมาอยู่ต่างประเทศในฐานะเมียฝรั่งมันไม่ได้ลำบากหรือถูกลดคุณค่า-ศักดิ์ศรีของตนเองแต่อย่างใดหากผู้นั้นมีวิธีคิด,วิธีปฏิบัติตน,การเรียนรู้และการปรับตัวที่เหมาะสม ซึ่งดิฉันนับเป็นภรรยาฝรั่ง(เศส) และได้ย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศสจึงอยากที่จะเขียนถึงแง่คิดมุมมองและการปฎิบัติตนต่างๆเพื่อเป็นแนวทางสำหรับสาวไทยผู้ที่มีคนรักเป็นชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสและคิดที่จะแต่งงานและวางแผนมาอยู่ฝรั่งเศสด้วยกัน และได้อยู่ในฐานะมาดามได้อย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรี ซึ่งมีแนวทางในการคิดและปฎิบัติตนต่างๆ เริ่มตั้งแต่ทัศนคติ-ความคิดเห็นที่มีต่อการเลือกคู่เป็นคนต่างชาติไปจนถึงการใช้ชีวิตในต่างแดนดังข้อคิด10 ประการนี้ค่ะ

1.ความคิดที่จะแต่งงานกับคนรักต่างชาติ แต่งเพื่ออะไร? : หากคุณคิดว่าคุณจะแต่งงานกับชาวต่างชาติเพื่อความร่ำรวยเงินทอง เพื่อสร้างบ้านหลังใหญ่โตให้พ่อ-แม่หรือเพื่อให้สามีต่างชาติของคุณมารับภาระลูกๆที่เกิดกับสามีคนเก่า ถ้าคุณคิดเช่นนี้ก็ยากที่จะมีความสุขในชีวิตแต่งงานไม่ว่ากับชายไทยหรือชายต่างชาติ  ซึ่งบางคนหลังแต่งงานไม่มีความสุขเพราะสามีไม่มีรายได้มากอย่างที่เคยคาดหวังไว้และไม่ว่าผู้ชายชาติไทยหรือชาติไหนๆคงไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงที่หวังเพียงเงินทองจากตนเอง เพราะชีวิตคู่คือการใช้ชีวิตร่วมกันของคน 2 คนที่มาจากความรักความเข้าใจ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตร่วมกันและพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน  การกตัญญูต่อบุพการีด้วยการเลี้ยงดูบุพการีเป็นสิ่งที่ประเสริฐและการเลี้ยงดูบุตรนับว่าเป็นสิ่งดีที่พ่อ-แม่พึงกระทำต่อบุตรเช่นกัน ฉะนั้นควรเป็นการเริ่มต้นที่ตัวของเราเองที่ทำตามเป้าหมายในชีวิตคือการทำงาน(อาชีพสุจริตและสังคมยอมรับ)เพื่อเลี้ยงดูบุพการีและบุตรของตนเอง หากเราเริ่มต้นที่ตัวเราและสิ่งใดที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา สามีที่เราแต่งงานด้วยความรักความเข้าใจก็จะช่วยเหลือเราตามศักยภาพของเขาให้เราได้บรรลุตามเป้าหมายในชีวิตของเรา..หากเราคิดว่าการแต่งงานคือการสร้างความร่ำรวยให้กับชีวิตโดยเราไม่ต้องทำงานอะไรเลย เราอาจได้ความร่ำรวยหากได้สามีร่ำรวยแต่เราจะไม่ได้ความภูมิใจในตนเองและจะรู้สึกขาดคุณค่าในตัวเองเช่นกัน และในกรณีนี้ดิฉันเคยเจอหญิงไทยคนหนึ่งที่แฟนชาวฝรั่งเศสทำเรื่องให้เธอเข้ามาอยู่ฝรั่งเศสได้ 4-5ปีในฐานะคนรัก(ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) เมื่อพบเธอครั้งแรกเธอก็เล่าให้ฟังว่าคนรักดูแลเธอไม่ดี เหมือนกับต้องการให้เธอมาอยู่ด้วยเพื่อช่วยดูแลลูกสาวของฝ่ายชายและให้เงินเธอเดือนละ 300 ยูโร(ประมาณ 12,000บาท) เธอกล่าวว่า นับว่าไม่พอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวที่เมืองไทยที่มีทั้งพ่อ-แม่พี่น้องทุกคน(ไม่ได้ประกอบอาชีพ)และลูกน้อยของเธอได้ ดิฉันจึงถามจุดเริ่มต้นในการรู้จัก..เธอกล่าวว่ารู้จักกันที่พัทยารู้จักกันได้ 2 สัปดาห์ผู้ชายต้องกลับฝรั่งเศสและจึงทำเรื่องนำเธอมาอยู่ด้วย และถามว่าทำไมตามผู้ชายมาง่ายจังเธอตอบว่าคิดว่ามาเป็นเมียฝรั่งแล้วชีวิตคงดีขึ้นเพราะอย่างน้อยน่าจะมีโอกาสได้ทำงานในฝรั่งเศสซึ่งเงินเดือนอาจดีกว่าในไทยและตอนที่มานั้นลูกของเธอเพิ่งอายุได้ไม่กี่เดือนเอง จากกรณีนี้เห็นได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่กับชาวต่างชาติที่ไม่ได้เกิดจากความรักความเข้าใจ(แต่เพราะต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น)และเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพราะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ไม่เพียงพอที่จะเข้าใจคนๆหนึ่งจนถึงขั้นที่ต้องฝากลูกที่ยังเล็กในเมืองไทยไว้กับญาติและมาใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน

2. ใช้หัวใจและสมองในการเลือกผู้ชาย(ฝรั่ง)ที่จะแต่งงานด้วย : หากเรามีความคิดว่าชีวิตคู่คือการใช้ชีวิตร่วมกันของคน 2 คนที่มาจากความรักความเข้าใจ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตร่วมกันและพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เมื่อมีฝรั่งเข้ามาขอความรักจากเราหรือขอเราแต่งงานเราก็จะไม่ผลีผลามรีบตอบรับหรือรีบตามผู้ชายมาอยู่ต่างประเทศโดยไม่ได้ถามหัวใจตัวเองว่ารักผู้ชายต่างชาติคนนี้ที่ตัวตนของเขาหรือไม่และไม่ใช้สมองในการพิจารณาว่าชายต่างชาติคนนี้รักเราจริงหรือไม่และเราจะสามารถใช้ชีวิตคู่กับเขาได้หรือไม่เช่นกัน ซึ่งผู้เขียนขอยกกรณีตัวอย่างของผู้เขียนเพื่อการอธิบายว่าใช้สมองในการเลือกอย่างไร

2.1 พิสูจน์ความจริงใจของคนรักต่างชาติว่ารักเราจริงหรือไม่ : สามีดิฉันเคยมาเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งตั้งแต่ก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานกับภรรยาชาวฝรั่งเศสคนแรก(ภรรยาคนแรกเสียชีวิตก่อนรู้จักดิฉัน 3 ปี) ทำให้ได้รู้จักและมีความสนิทสนมกับเพื่อนดิฉัน(เป็นผู้ชายที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของดิฉันตั้งแต่เด็กๆจนโต) ซึ่งเพื่อนและสามีรู้จักกันมานานร่วม 27 ปีและยังติดต่อกันเสมอแต่สามีเพิ่งจะมาเห็นดิฉันจากเฟซบุ๊คของเพื่อน เห็นรูปแล้วก็ตะลึงในความงาม..อิอิ..จึงเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งและขอให้เพื่อนช่วยพามาพบดิฉันซึ่งสามีไม่สามารถพบดิฉันได้ง่ายๆเพราะเพื่อนอยู่ต่างจังหวัดแต่ดิฉันทำงานอยู่กทม. และช่วงที่รอเจอดิฉันที่ต่างจังหวัดนั้นนั้นก็มีผู้หญิงสวยๆหลายคนให้ความสนใจสามีแต่สามีก็ไม่ได้สนใจหญิงใดเพราะมีมุ่งมั่นที่จะเจอแต่ดิฉันเมื่อรู้จักกันแล้วดิฉันก็กลับมากทม.ไปทำงานตามปกติ สามีได้ตามมากทม.และพักที่โรงแรมใกล้ๆที่ดิฉันพักอยู่ ดิฉันทำงานเวลา 12.30-20.30น. ช่วงสายๆสามีก็จะรับไปทานข้าวกลางวันและเดินไปส่งที่ทำงานทุกวันหลังจากนั้นคุณเธอก็ไปเที่ยวคนเดียวในกทม.พอเวลา 20.30 น.ก็จะมารับที่ทำงานพร้อมดอกไม้หรือของขวัญแล้วพาไปทานอาหารเย็น สามีทำเช่นนี้ทุกวันหลังจากที่รู้จักเป็นเวลาเกือบ 1 เดือนที่อยู่ในเมืองไทยโดยไม่บ่นสักคำว่าเบื่อหากแต่แสดงความรู้สึกยินดีและมีความสุขทุกครั้งที่มารับ-ส่งดิฉันจากที่ทำงาน ถ้าเป็นชายไทยอาจจะธรรมดาแต่เป็นฝรั่งต้องใช้ความพยายามเพราะไม่ใช่บ้านเขา และสามีไม่รู้จักกทม.ดีนัก(แต่หลังจากนั้นสามีรู้จักทางในกทม.มากกว่าดิฉันอีก..อิอิ) และไม่ได้ชอบการท่องเที่ยวในกทม.เพราะสามีชอบทะเลและสถานที่เที่ยวที่เป็นธรรมชาติเวลามาเที่ยวไทยสามีชอบไปเกาะสมุย แต่สามีต้องใช้เวลาวันละ 8 ชม.ช่วงกลางวันทุกวันเป็นเวลาเกือบ 1 เดือนในการเที่ยวในกทม.ตามลำพัง(ทั้งที่ตนเองชอบเที่ยวทะเล) เพื่อเป็นการรอเวลามาพบดิฉันในเวลา 20.30น.  นับว่าได้ใจไปเยอะเลยค่ะ พอหลังจากกลับไปฝรั่งเศสก็คุยกันทาง Skype ทุกวันจนครบ 4 เดือนก็เดินทางมาเมืองไทยอีกและเดินทางไป-มารหว่างฝรั่งเศสและเมืองไทยเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ซึ่งช่วงที่มาเยี่ยมดิฉันที่เมืองไทยก็ไปไหนมาไหนกันแบบแพ็คคู่ตลอด และช่วงที่กลับไปฝรั่งเศสก็คุยSkypeวันละนิดหน่อยเกือบทุกวัน ซึ่งการคุยเกือบทุกวันโดยเปิดกล้องด้วยจะช่วยเช็คได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีใครแอบซ่อนอยู่หรือไม่ ถ้าวันไหนฝ่ายไหนมีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้านเพื่อนก็จะโผล่หน้ามาทักทายในกล้องด้วยก่อนจะยุติการสนทนาในวันนั้นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเพื่อนมาบ้านคุยต่อไม่ได้จริงๆ
ขณะทำงานที่คลีนิค ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่พิสูจน์ความจริงใจของสามีมารับ-ส่งทุกวันและตัดโอกาสไปเที่ยวทะเลที่ตนเองชอบ
ช่วงเป็นคนรัก คุณสามีเดินทางมาประเทศไทยทุก 4 เดือนปารีส-กทม.12 ชม.ตอนนั้นเรียกว่าเดินทางได้ไม่เหนื่อยเลยเนอะ..
ภาพนี้เปิดตัวกามเทพ ที่คุณสามีขอร้องให้เป็นกามเทพหน่อยค่ะ..

2.2 พิจารณาถึงความความเป็นไปได้ในการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งควรพิจารณาทั้งด้านทัศคติ-วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของว่าที่สามีในประเทศของเขา ร่วมไปถึงสถานภาพทางการเงิน

*พิจารณาด้านทัศนคติและวิถีชีวิตของคนรัก(ฝรั่ง) : ถึงแม้ว่าดิฉันกับสามีจะมีความแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ,ศาสนา และวัฒนธรรม แต่ดิฉันและสามีไม่มีความรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ด้วยกันเพราะมีวิถีชีวิตที่คล้ายกันคือเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว, พิถีพิถันในเรื่องการกินการอยู่แต่ไม่ฟุ่มเฟือย, ไม่สูบบุหรี่, ไม่เล่นการพนัน, ไม่ชอบการเสี่ยงโชค, ไม่ติดการดื่มสุรา, ชอบความโรแมนติค และดิฉันเป็นคนรักสวยรักงามส่วนสามีก็ชอบและส่งเสริมให้ภรรยาตัวเองสวย นอกจากนั้นเรายังมีความต่างที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้คือ ดิฉันเป็นคนพูดเยอะส่วนสามีเป็นคนไม่ค่อยพูด(ถ้าพูดเยอะเหมือนกันคงจะแย่งกันพูดไม่มีใครฟังเลยมั๊ง..อิอิ) ดิฉันเป็นคนใจร้อนส่วนสามีใจเย็นมากถึงมากที่สุดเลยค่ะ..อิอิ(ดิฉันเป็นเหมือนไฟส่วนสามีเป็นเหมือนน้ำเลยดับไฟได้ทุกครั้งที่ดิฉันอารมณ์เสีย​)  ถ้าหากคู่ใดช่วงคบหาดูใจกันทะเลาะกันทุกวันหรือมีเรื่องหึงหวงกันตลอด ขอให้พิจารณาให้ดีว่าสาเหตุจากการทะเลาะและหึงหวงคืออะไรและสาเหตุนั้นสามารถปรับปรุงแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าแก้ไขหรือปรับปรุงไม่ได้แต่ยังฝืนแต่งงานกันและตามฝ่ายชายมาอยู่ต่างประเทศแล้วจะยิ่งทุกข์ใจ รู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และปัญหาต่างๆอาจตามมา เพราะการแต่งงานกับชาวต่างชาติแล้วย้ายมาอยู่ต่างประเทศ สามีนับเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งที่จะส่งผลให้ชีวิตคู่มีความสุขหรือไม่่

*พิจารณาความเป็นอยู่ของสามีในต่างประเทศ : เริ่มพิจารณาตั้งแต่สามีกลับประเทศและติดต่อเรากลับมาเราก็จะพอรู้ว่าคุณเธอทำอะไรในแต่ละวัน แต่จะยากหน่อยเพราะเวลาที่ต่างกันอย่างไทยกับฝรั่งเศสเวลาต่างกันประมาณ 5-6ชม. แต่ถ้าทั้งคู่รักกันจริงๆก็จะพยายามหาเวลาในการพูดคุยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

*พิจารณาสถานะด้านการเงิน : ในกรณีนี้ดิฉันไม่ได้หมายถึงให้พิจารณาว่ารวยหรือไม่ แต่การที่จะแต่งงานกับต่างชาติและมาใช้ชีวิตในต่างแดนฝ่ายชายควรมีรายได้ที่แน่นอนเพราะช่วงที่ฝ่ายหญิงย้ายมาอยู่ต่างประเทศใหม่ๆย่อมจะหางานไม่ได้ถ้าฝ่ายชายไม่มีความมั่นคงทางการงานและการเงิน จะค่อนข้างอยู่ลำบากแต่ก็มีบางรายที่ทั้งคู่รักกันและเข้าใจกันดีรวมถึงฝ่ายชายก็เป็นคนดีแต่อายุยังไม่มากทั้งคู่ฝ่ายชายจึงยังไม่มีความมั่นคงในด้านการเงินและยังต้องเช่าบ้านอยู่ เมือย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสช่วงแรกอาจลำบากหน่อยแต่ฝ่ายชายได้พยายามทำงานให้มากขึ้นทำให้มีรายได้ที่มากขึ้นและฝ่ายหญิงก็พยายามหางานทำ ซึ่งตอนนี้คู่นี้ก็วางแผนเก็บเงินเพื่อจะซื้อบ้านเป็นของตนเองและคาดว่าปีหน้าอาจจะซื้อบ้านได้ตามที่คาดหวังไว้ แต่ในกรณีของดิฉันด้วยความสูงวัย(ขณะแต่งงานอายุ50ปี)และขณะอยู่เมืองไทยก็มีอาชีพและรายได้ที่ดี(เป็นพยาบาลอยู่คลีนิคศัลยกรรมและความงาม)ถ้าจะให้จากบ้านเกิดเมืองนอนแล้วมาอยู่ต่างประเทศและต้องมาเริ่มสร้างฐานะใหม่คงไม่ไหวค่ะ..เลยต้องมั่นใจในสถานะทางการเงินของสามีหน่อย..อิอิ..
สาวน้อยคนนี้แหละค่ะที่มาอยู่ฝรั่งเศสด้วยแรงแห่งรัก ซึ่งช่วงแรกลำบากหน่อยแต่เพราะความรักความเข้าใจที่มีให้กันกับสามีตอนนี้ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น เธอวางแผนจะซื้อบ้านปีหน้าแล้วค่ะ

3.การสื่อสารกับคนรักต่างชาตินับเป็นสิ่งสำคัญ : ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีภาษาของตนเอง ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีภาษาสากลที่สื่อสารกันได้ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาการเรียนรู้ซึ่งกันเช่นสาวไทยคนไหนพูดภาษาอังกฤษได้ดีและรักกับชายที่พูดภาษาอังกฤษการสื่อสารก็จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่การที่ฝ่ายชายเป็นชาติที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษและพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดี(แต่ก็คงดีกว่าพูดภาษาไทย)ฉะนั้นหญิงไทยควรพูดและเขียนภาษาอังกฤษได้ดีเพราะถ้าเราพูดคำไหนแล้วไม่เข้าใจเราก็เขียนให้เขาดูถ้ายังไม่รู้ศัพท์คำนี้อีกก็ให้เขาค้นหาคำศัพท์ดูอีก ในกรณีนี้บางท่านอาจคิดว่าถ้างั้นทำไมไม่ใช้การแปลใน googleจากภาษาไทยเป็นภาษาฝรั่งเศสไปเลย ที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะอย่างกรณีของดิฉันเรา 2 คนพูดภาษาอังกฤษกันได้ฉะนั้นการค้นหาความหมายของคำศัพท์ค้นหาเพียงบางคำเท่านั้นไม่ใช่แปลกันทั้งประโยคและทุกประโยค เช่นพอพูดถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตด้วยกัน สามีทำหน้างงๆกับคำว่า purpose(จุดมุ่งหมาย) คำเดียวเท่านั้นดิฉันเลยเขียนคำนี้ให้ดูสามีค้นคำศัพท์ในโทรศัพท์ไม่ถึง 1 วินาทีก็เข้าใจแล้วคุยกันต่อ แต่ถ้าหากแปลภาษาไทยเป็นภาษาฝรั่งเศสคงต้องแปลกันทุกคำทั้งประโยค ถ้าเป็นเช่นนั้นตอนคุยกันคงต้องพิมพ์ในโทรศัพท์กันอย่างเดียวไม่ต้องมองหน้ามองตากันล่ะ..อิอิ..และการแปลภาษาไทยเป็นภาษาฝรั่งเศสใน google ส่วนมากความหมายจะเพี้ยนมากค่ะ อาจทำให้ตีความผิดไปเลยค่ะ นอกจากนั้นก็ได้ปรับการพูดภาษาอังกฤษแบบให้คู่รักของเราเข้าใจได้มากที่สุด อย่างกรณีของดิฉันในการพูดภาษาอังกฤษกับสามีก็ไม่ต้องเปลียนคำกริยาไปตามรูปประโยคแต่บอกเวลาที่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นประโยค ปัจจุบัน อดีต หรือ อนาคต อย่างเช่นคำว่า run (วิ่ง) ถ้าเป็นอดีตก็ต้องเปลี่ยนเป็น ran ในกรณีของดิฉันถ้าเป็นการวิ่งในอดีตแล้วพูดว่า ran คุณสามีจะทำหน้างงทันที ฉะนั้นถ้าจะพูดกับสามีไม่ว่าจะวิ่งวันนี้หรือเมื่อวานก็ใช้ run เหมือนกันหมดแต่บอกเวลาให้ชัดเจนว่าวิ่งเมื่อวานหรือวันนี้แต่ถ้าทั้งคู่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลยหรือไม่มีภาษากลางที่จะสื่อสารด้วยกัน คงยากมากที่จะเข้าใจกันถึงความคิดและทัศนคติต่างๆและคงยากที่จะคุยกันถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตคู่ร่วมกัน

4. เดินทางไปเยี่ยมฝ่ายชายก่อนตัดสินใจแต่งงาน : เมื่อใช้เวลาศึกษาและเรียนรู้กันพอสมควรและคิดว่าคนนี้แหละที่เราจะใช้ชีวิตคู่ด้วยและวางแผนที่จะไปอยู่ต่างประเทศกับฝ่ายชาย ก่อนที่จะแต่งงานควรเดินทางไปเยี่ยมฝ่ายชายที่ต่างประเทศก่อนเพื่อดูให้รู้ว่าความเป็นอยู่ของครอบครัว พ่อ-แม่พี่น้อง เพื่อนๆและสังคมของฝ่ายชายเป็นอย่างไร เพราะต้องประเมินว่าถ้าเราต้องมาอยู่ที่นี่ตลอดไปเราจะอยู่ได้ไหม จะปรับตัวอย่างไรดี ถ้าช่วงที่มาเยี่ยมคนรัก 1-3 เดือน แล้วประเมินว่าเราคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ๆดูแล้วไม่น่าจะมีความสุข การตัดสินใจก็จะขึ้นอยู่ว่าจะกล้าเสี่ยงหรือไม่ แต่สำหรับดิฉันไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ดิฉันคงปฏิเสธการแต่งงาน และถ้าหากคิดว่ายกเลิกการแต่งงานยากเพราะจะเสียหน้าและรู้สึกอับอายถ้ากลัวในกรณีนี้ดิฉันคิดว่าช่วงที่คบหาดูใจและช่วงที่เดินทางมาเยี่ยมสามีไม่ต้องออกสื่อให้ใครรู้ มาแบบเงียบๆ เพราะถ้าทุกอย่างไม่เป็นอย่างหวังจะได้เจ็บอย่างเงียบๆและไม่ต้องเจ็บเพิ่มมากขึ้นจากแรงกดดันภายนอก สำหรับดิฉันทุกคนที่สามีรู้จักล้วนเป็นคนน่ารักและดีต่อดิฉันมาก พอกลับมาเมืองไทยเราจึงได้วางแผนเรื่องการแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน


ช่วงเดินทางมาฝรั่งเศสก่อนแต่งงาน ได้ไปงานแต่งงานที่เมือง Rivesaltes ทุกคนยินดีที่ได้ที่ได้รู้จักดิฉัน..
ช่วงเดินทางมาฝรั่งเศสก่อนแต่งงาน ได้รู้จักกับคู่สามีภรรยาที่เมืองAlesฝ่ายชายเป็นเพื่อนกับสามีค่ะ และคู่นี้น่ารักมากค่ะ

ช่วงเดินทางมาฝรั่งเศสก่อนแต่งงาน ได้พบกับลูกๆของเพื่อนร่วมงานสามี เด็กๆชอบที่จะคุยกับดิฉันเพราะเด็กๆต้องกาnรที่จะพูดภาษาอังกฤษ คือใครสามารถสื่อสารกับดิฉันได้นี่ภูมิใจกันเลย..อิอิ
ช่วงเดินทางมาฝรั่งเศสก่อนแต่งงาน ได้ไปเยี่ยมญาติสามีที่เมือง Bandol ด้วย เธอน่ารักและอัธยาศัยดีเช่นกัน

5. ทัศนคติเชิงบวกที่มีต่อประเทศชาติของคนรัก :  หากคนเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับประวิติศาสตร์ชาติไทยจะเห็นได้ว่าชาติไทยของเราเคยถูกประเทศมหาอำนาจบางประเทศกดขี่ข่มเหง อย่างเช่นประเทศฝรั่งเศสก้อเคยกดขี่ข่มเหงประเทศไทยอย่างในกรณี "วิกฤติการณ์ รศ 112" ที่ไทยต้องเสียดินแดนไทยบางส่วนและเงินชดเชยค่าเสียหายให้กับประเทศฝรั่งเศสในการสู้รบทางเรือที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายรุกรานเรา และเราต้องทำสัญญากับประเทศฝรั่งเศสที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดิฉันอ่านเรื่องวิกฤติการณ์ รศ 112 ก็รู้สึกโกรธแค้นเช่นกันแต่ก็ต้องปรับความรู้สึกเพราะคิดว่าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติเพื่อเรียนรู้ความเป็นมาและสำนึกรักในแผ่นดินเกิดและจากเรื่องนี้เรายอมเสียเปรียบเพราะเราด้อยกว่าประเทศเขาในทุกๆด้าน ฉะนั้นหากประเทศเราแข็งแกร่งก็จะไม่มีหน้าไหนมารุกรานเราได้ ดิฉันจึงคิดว่าจากความเสียเปรียบในประวัติศาสตร์หากพวกเราตะหนักและมาช่วยกันทำให้ประเทศเราเข้มแข็งไม่แตกความสามัคคีกันน่าจะดีกว่าความคิดแค้นใจ..จะแค้นใจไปเพื่อ? เพราะถ้าทุกชาติที่เคยถูกรุกรานและเอาเปรียบในประวัติศาสตร์คิดกันเช่นนี้ สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้เกิดแน่..หากปรับความคิดได้เช่นนี้ก็เปิดใจรับคนต่างชาติโดยเฉพาะชาติที่เคยเอาเปรียบประเทศเรามาเป็นคนรักได้ แต่ถ้าหากเรายังติดอยู่กับความแค้นในประวัติศาตร์ดิฉันว่าปิดประตู(ใจ)สำหรับคนต่างชาติไปเลยค่ะ..ลองคิดดูถ้าเราต้องไปอยู่ประเทศที่เรามีทัศนคติเชิงลบต่อประเทศนั้นเราจะมีความสุขไหม ถ้าเห็นอะไรก็แค้นไปหมด
เมื่อมาเป็นสะใภ้ฝรั่งเศส ตอนฟุตบอลยูโร 2016 เลยช่วยเชียร์ฝรั่งเศสกันเต็มที่ ภาพนี้เพื่อนๆล้อว่าคิดว่า Miss France..อิอิ

6.ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศของสามีรวมถึงกฏหมายครอบครัว : ก่อนที่จะไปอยู่ต่างประเทศกับสามีควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศที่จะไป ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา วัฒนธรรมและสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งด้านภาษาก็น่าจะพูดคำง่ายๆในการสื่อสารทั่วๆไปได้เพราะถ้าพูดได้บ้างก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดมาก  นอกจากนั้นควรหาข้อมูลเกี่ยวกับกฏหมายครอบครัวของประเทศสามี อย่างประเทศฝรั่งเศส ในการแต่งงานส่วนมากจะทำสัญญาการสมรส(contrat de mariage ) ซึ่งหมายถึงคู่สามีภรรยาเลือกทำสัญญาเพื่อกำหนดการจัดการบริหารทรัพย์สินในครอบครัวภายหลังการสมรส ได้แก่ การกำหนดความเป็นเจ้าของ และการใช้ประโยชน์ของรายได้ เงินออมทรัพย์ อสังหาริมทัพย์ รวมทั้งกำหนดภาระหน้าที่การชำระรายจ่ายและหนี้สิน มาตรการเหล่านี้อาจให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด(กฏหมายแพ่ง) หรือตามสัญญาที่ตกลงกัน( ข้อมูลจาก http://www.visapass-travel.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1398127)

ในการทำสัญญาการสมรสนี้ ในกรณีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นสินสมรสเดิมของสามีและสามีมีลูกติด หากมีการหย่าร้างภรรยาจะไม่มีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ แต่ถ้าหากสามีเสียชีวิตก่อนภรรยาๆจะมีสิทธิ์ในบ้าน 1/4 ส่วนที่เหลือจะเป็นของลูกติดสามี ซึ่งหากสามีต้องการให้ภรรยามีส่วนแบ่งมากกว่า 1/4 ของบ้าน สามีสามารถทำพินัยกรรมให้ภรรยาได้แต่ทำได้เพียง1/2 เพราะกฎหมายฝรั่งเศสจะปกป้องลูก บิดา-มารดาไม่สามารถทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินให้ผู้อื่นหรือภรรยา/สามีใหม่ทั้งหมดหากลูกไม่ได้มีความผิดที่ร้ายแรงต่อบิดา-มารดา  ที่ได้กล่าวในประเด็นนี้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับสาวไทยที่แต่งงานกับคนฝรั่งเศสที่มีลูกติดจะได้ทราบสิทธิ์ที่ตนเองพึงได้รับหลังจากสามีเสียชีวิต

 และกฎหมายฝรั่งเศสมีข้อดีสำหรับผู้ที่เป็นภรรยาของข้าราชการฝรั่งเศสคือ หากสามีเสียชีวิตก่อนภรรยาทั้งก่อนหรือหลังเกษียณภรรยาจะได้เงินเกษียณขั้นต่ำของสามีอย่างกรณีของดิฉันเงินเกษียณขั้นต่ำของสามีประมาณเดือนละ 50,000 บาทซึ่งเงินนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยในต่างจังหวัดได้แบบไม่เดือดร้อนถ้ารู้จักใช้เงิน ซึ่งสามีดิฉันให้เหตุผลในการขอแต่งงานและจดทะเบียนสมรมให้ถูกต้องตามกฎหมายว่านอกจากต้องการใช้ชีวิตร่วมกันแล้วและยังต้องการให้ดิฉันมีรายได้ที่เลี้ยงตัวเองได้หากสามีต้องเสียชีวิตไปก่อน และการเขียนประเด็นนี้ไม่ได้เป็นการให้สาวไทยพยายามที่จะเป็นเป็นภรรยาของข้าราชการฝรั่งเศส เพราะหวังผลประโยชน์หลังจากสามีเสียชีวิตหากเป็นการเขียนเพื่อให้สาวไทยที่มีคนรักเป็นข้าราชการฝรั่งเศสได้ทราบข้อมูลนี้ค่ะ

7. ชีวิตคือการเรียนรู้และเป็นการเรียนรู้แบบไม่สิ้นสุด : หากคิดเช่นนี้ก็จะไม่เบื่อ ไม่เหงาแต่ตรงกันข้ามจะสนุกกับการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเจอในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ด้านภาษา, วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนและควรยอมรับในความแตกต่างของประเทศเราและประเทศของสามี และหากเรามีอัธยาศัยที่ดีมีมิตรไมตรีกับทุกคน เราก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนบ้าน เพื่อนสามีได้ และจะได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
คนฝรั่งเศสจะมีวัฒนธรรมการกินที่เสริฟอาหารเป็นลำดับขั้น 5 และการจัดโต๊ะก็มีหลักการในการจัดเช่นกัน ตอนนี้จัดเก่งแล้วค่ะลูกๆก็จัดกันเป็นทั้ง 2 คน

มีโอกาสไปร่วมงานเทศกาลหอยที่เมือง Perpignan และที่ถืออยู่คือไวน์ Muscat เป็นไวน์ขาวที่มีรสหวานและเป็นไวน์ที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ค่ะ

8. มีทัศนคติเชิงบวกในการดำรงชีวิตในฝรั่งเศส : การคิดบวกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เช่นประเทศฝรั่งเศสมีข้อเสียที่ทุกคนพูดถึงคือ ขี้หมาตามถนนหนทางเยอะมากพวกเพราะคนที่นี่ชอบจูงหมาเดินเล่นตามถนน ซึ่งทางการก็ได้จัดกล่องใส่ถุงพลาสติกใส่ขี้หมาไว้ตามทางแต่ก็ยังมีขี้หมาอยู่ตามทางเดินทั่วไป ถ้าเราหงุดหงิดกับสิ่งเหล่านี้เราก็จะทำให้เราอารมณ์เสียซึ่งจะส่งผลทำให้แก่ไวนะคะ..อิอิ.. การคิดบวกในกรณีนี้คือหากการเดินตามทางในฝรั่งเศสแล้วเราเดินไปคุยโทรศัพท์ไป หรือเดินไปแต่ใจไปคิดเรื่องอื่นโอกาสเหยียบขี้หมามีสูงมาก ฉะนั้นหากเดินที่ฝรั่งเศสเราจะต้องมีความระมัดระวังและมีสติสัมปชัญญะในการเดิน ฉะนั้นเราก็นับว่าการเดินตามทางในฝรั่งเศสเป็นการฝึกเดินแบบมีสติสัมปชัญญะไปในตัว..อิอิ
กับเพื่อนๆที่อยู่เทศบาลเดียวกันมาทานอาหารร่วมกันในงาน La  fête de Saint Jean

มีโอกาสได่มีส่วนร่วมในงานเดินแฟชั่นโชว์ของเทศบาลที่อาศัยอยู่งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว

กับเพื่อนที่อยู่เทศบาลเดียวกันได้รู้จักกันเพราะไปเจอกันที่งานในชุมชนแล้วเพื่อนอยากรู้จักอ่ะ..คนน่ารักก็อย่างนี้เนอะ..อิอิ.
เต้นรำโชว์ในงานวันเกิดหลานชายสามีกับญาติๆและเพื่อนบ้านที่เมือง Riversalte สนุกมากและเต้นผิดเต้นถูกเพราะไม่ได้ซ้อมกับเขาเลย..อิอิ
ความสุขกับเพื่อนๆ..สามสาวนี้มีสามีเป็นเพื่อนรักกัน ซึ่งสามีของทั้ง 3คนตั้งชื่อภาพว่า 3 angels ลับหลังอาจเรียก 3 devils...อิอิ..

9.งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน : การคิดเช่นนี้จะทำให้เราขวนขวายและอยากที่จะทำงานรวมถึงทำงานอย่างมีคุณภาพ ซึ่งไม่ว่าจะทำงานอะไรหากเราทำเพราะรักในงาน, มีความรับผิดชอบรวมถึงมีการเรียนรู้ในการทำงานและพัฒนางานให้มีคุณภาพไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไรเราก็จะได้รับความยอมรับจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าด้อยคุณค่าในต่างแดนเลย  และบางรายกังวลว่าการมาอยู่ต่างประเทศที่เรายังไม่สามารถพูดและเข้าใจภาษาของประเทศนั้นได้ดีอาจทำให้ยากที่จะทำงานตรงตามความรู้ความสามารถที่มี แต่ถ้าเรามีความสามารถและมีความตั้งใจจริงๆเราก็จะสามารถทำงานตามความรู้ที่เรามี ดิฉันมีโอกาสได้คุยกับหญิงไทยคนหนึ่งเธอเป็นพยาบาลและแต่งงานกับชาวฝรั่งเศสตั้งแต่เธอเพิ่งสำเร็จการศึกษาเธอได้จ่ายเงินเพื่อเรียนภาษาฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัยมงต์เปลิเยร์ เมื่อการใช้ภาษาฝรั่งเศสเธอใช้ได้แล้วเธอก็ไปสอบใบประกอบวิชาชีพพยาบาลของฝรั่งเศสซึงเธอสามารถสอบได้ และที่ฝรั่งเศสถ้าเป็นพยาบาลจากไทยหลังจากสอบใบประกอบวิชาชีพได้แล้วจะต้องฝึกอบรมด้านการพยาบาลเป็นเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งพยาบาลจากบางประเทศต้องฝึกอบรมเป็นเวลาถึง 1 ปี(แสดงว่าพยาบาลจากไทยมีคุณภาพมากกว่าบางประเทศนะจ้ะ)หลังจากผ่านการฝึกอบรมแล้วเธอจึงไปสมัครทำงานพยาบาลและขอทำงานที่แผนกเด็ก เพราะทำงานกับเด็กไม่ต้องพูดเพราะเด็กยังพูดไม่ได้แต่ใช้การสังเกตุอาการของเด็กแทน ฉะนั้นถึงแม้ว่าเธอยังพูดภาษาฝรั่งเศสไม่คล่องก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน การที่เธอทำงานอย่างมีคุณภาพทำให้เธอสามารถผ่านการทดลองงานและสามารถทำงานเป็นพยาบาลที่ฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วม 20 ปีแล้ว

10. การมีจุดมุ่งหมายในชีวิตร่วมกันกับสามี :ตามที่ดิฉันได้กล่าวไว้ในข้อที่2 ถึงนิยามชีวิตคู่คือการใช้ชีวิตร่วมกันของคน 2 คนที่มาจากความรักความเข้าใจ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตร่วมกันและพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ซึ่งจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตร่วมกันของแต่ละคู่ก็จะแตกต่างกันไป อย่างคู่ของรุ่นน้องคนหนึ่งเธอและสามียังอายุไม่มากและเป็นช่วงที่กำลังสร้างครอบครัว จุดมุ่งหมายของครอบครัวเธอคือการทำงานหาเงินเพื่อเปิดร้านอาหารไทยในเมืองที่เธออยู่ สามีเธอเป็นข้าราชการซึ่งนับได้ว่ามีเป็นงานที่มั่นคงและมีรายได้ที่ดี  ซึ่งสามีเธอได้วางแผนเก็บเงินเพื่อที่จะได้มีเงินเก็บมากขึ้น ส่วนเธอทำงานวันละหลายชั่วโมงซึ่งงานที่เธอทำก็มีทั้งดูแลผู้สูงอายุในช่วงเช้า ช่วงกลางวันก็เข้ารับการอบรมเพื่อขอใบอนุญาติในการเปิดร้านอาหาร ช่วงเย็นก็ทำงานร้านอาหาร

ส่วนดิฉันเป็นคู่ของผู้สูงวัยที่ใกล้วัยเกษียณอายุแล้วและสามีเป็นข้าราชการจึงมีความมั่นคงในหน้าที่การงานและการเงินรวมถึงมีบ้านแล้ว ฉะนั้นการทำงานมากเพื่อหาเงินจึงไม่ใช่จุดมุ่งหมายหลักในชีวิตคู่ของเรา(ดิฉันกับสามีเป็นคู่สว. สูงวัยค่ะ..อิอิ) และจุดมุ่งหมายในชีวิตคู่ของเรา 2 คนคือ

1.* การสร้างครอบครัวให้มีความสุขและความอบอุ่น
2.*ช่วยกันเลี้ยงดูบุตรให้มีคุณภาพซึ่งหมายถึงบุตรของดิฉัน 3 คนเพราะบุตรของฝ่ายสามีโตเป็นผู้ใหญ่และมีงานทำแล้ว
3.*ช่วยกันเก็บเงินเพื่อสร้างบ้านอีกหลังในเมืองไทยหลังเกษียณอายุและเพื่อเป็นเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

จากมุ่งหมายในการใช้ชีวิตคู่ของดิฉันๆจึงไม่คิดที่จะทำงานเป็นพยาบาลเพราะเนื่องจากอายุที่มากแล้ว (52ปี) และการทำงานพยาบาลต้องขึ้นเวรทำงานกลางคืนบ้างทำงานวันเสาร์-อาทิตย์บ้าง จะทำให้ดิฉันไม่สามารถให้เวลากับครอบครัวได้เต็มที่ ซึ่งดิฉันต้องการเวลาในตอนเย็นและเสาร์-อาทิตย์เพื่อดูแลเรื่องอาหารในครอบครัวและช่วยสอนการบ้านลูกๆ ซึ่งลูกๆเพิ่งมาอยู่ฝรั่งเศสได้เพียง 1 ปีและลูกชายสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่นี่ได้ซึงเป็นโอกาสที่ดีของลูกแต่ลูกก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเพื่อนๆเพราะภาษาฝรั่งเศสยังไม่ดีพอ  ส่วนดิฉันยังไม่ได้เก่งภาษาฝรั่งเศสแต่ดิฉันสามารถสอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้กับลูกๆได้เพราะคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจดิฉันดู ตัวอย่างก็พอเข้าใจและพออธิบายให้ลูกเข้าใจได้ ส่วนภาษาอังกฤษการสอนลูกก็นับเป็นการทบทวนภาษาอังกฤษไปในตัว แต่ถ้าเป็นวิชาประวัติศาสตร์หรือภาษาฝรั่งเศสสามีจะช่วยสอนให้ ฉะนั้นดิฉันจึงเลือกทำงานเป็นเชฟอยู่ร้านอาหารเอเซียเพราะดิฉันชอบการทำอาหารและเคยเรียนรู้เทคนิคการทำอาหาร ต่างๆจากคุณแม่ตั้งแต่ตอนเด็กๆและคุณแม่ก็เรียนการทำอาหารจากคุณยายจึงนับ เป็นการเรียนรู้แบบรุ่นสู่รุ่น และดิฉันขอทำแค่ช่วงอาหารกลางวันและไม่ทำในช่วงเย็นกับวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะต้องการให้เวลากับครอบครัวดังที่กล่าวมาแล้ว ส่วนลูกชายคนโต ดิฉันและสามีได้ส่งเงินค่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้แต่ละเดือนโดยกำหนดขอบเขตในการใช้เงินเพื่อฝึกให้ลูกไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินตัว และจุดมุ่งหมายข้อที่ 3 ในการช่วยกันเก็บเงินนั้นเราพวกเราสรุปว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครอบครัวค่ากิน,ค่าเที่ยว,ค่าใชจ่ายต่างๆ สามีเป็นผู้จ่าย ส่วนเงินเดือนของดิฉันเก็บเข้าธนาคารเพื่อสร้างบ้านอีกหลังในเมืองไทยหลังเกษียณอายุและเพื่อเป็นเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน


จากกรณีของดิฉันและสาวน้อยที่ดิฉันกล่าวถึงต่างทำงานไม่ตรงตามการศึกษาที่ร่ำเรียนมา สาวน้อยจบการศึกษาปริญญาตรีด้านกฎหมายส่วนดิฉันจบการศึกษาปริญญาตรีด้านการ พยาบาลปริญญาโทด้านการศึกษา แต่เรา 2 คนไม่เคยรู้สึกว่้าด้อยค่าเพราะเราทั้ง 2 มีต่างมีจุดหมายในชีวิตที่ชัดเจนและได้ทำตามจุดมุ่งหมายของเรา ซึ่งดิฉันคิดว่านี่แหละคือคุณค่าของตนเอง ดิฉันและน้องคนนี้จึงไม่เคยคิดว่าการมาทำงานร้านอาหารคือชีวิตที่ลำบากหรือลดคุณค่าตัวเองแต่อย่างใด เพราะงานทุกงานมีคุณค่าเสมอหากเราทำงานนั้นอย่างมีคุณภาพ ผู้ร่วมงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องย่อมให้การยอมรับและให้เกียรติเรา
พาลูกๆไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ในช่วงปิดเทอม ลูกๆชอบมากเดินเที่ยวกันเล่นเครื่องเล่นสารพัดไม่มีเหน็ดเหนื่อย..แต่คุณแม่น่ะ สว.(สูงวัย) เดินมะไหวแล้วค่ะ..อิอิ..
ความสุขในครอบครัวในวันคริสต์มาส ลูกสาวนะคะ ไม่ใช่ลูกชาย..อิอิ..
ความสุขในครอบครัว..ลูกสาวของสามีสวยมากค่ะ

ขณะทำงานเป็นเชพ มีน้องนักศึกษาคนไทยมาเป็นลูกค้าประจำที่ร้าน น้องบอกว่าพอได้ทานอาหารรู้เลยว่าเชพเป็นคนไทยเพราะรสชาติอร่อยเจ้มจ้นแบบไทยๆ..อิอิ

มีโอกาสพวกเราก็จะไปทำบุญที่วัดลาวในเมือง Montpellier และสาวน้อยที่ยืนข้างๆ ดิฉันชอบเรียกเธอว่าเล็กพริกขี้หนูเพราะเธอตัวเล็กแต่แผนการเธอใหญ่ค่ะ(สาวน้อยคนนี้แหละค่ะที่เตรียมตัวจะเปิดร้านอาหารไทยที่นี่..เก่งจังนะตัวแค่นี้..อิอิ)
จากข้อคิดทั้ง 10 ข้อของดิฉันคงพอจะเห็นได้ว่าดิฉันมีแนวคิดและทัศนคติอย่างไรที่จะทำให้อยู่อย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีในต่างแดน ซึ่งมีหญิงไทยหลายท่านที่แต่งงานกับชาวต่างชาติและมีความสุขเช่นกันแต่อาจไม่ได้มีแนวคิดและแนวทางในการปฎิบัติทั้ง 10ข้อเหมือนดิฉันเพราะแต่ละคนต่างมีบริบทและปัจจัยในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไป  แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าเหมือนกันคือในการที่ผู้หญิงที่แต่งงานไม่ว่ากับชายชาวต่างชาติหรือชาวไทยจะมีความสุขในชีวิตคู่ได้นั้น คู่สมรสควรมีความรักความเข้าใจและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตคู่ร่วมกันรวมถึงได้คู่ครองที่ดีที่พากันประคับประคองเพื่อก้าวเดินไปถึงจุดมุ่งหมายร่วมกัน และจากการเขียนมาทั้งหมดบางท่านอาจสงสัยว่าดิฉันมีแนวคิด-ทัศนคติและการปฎิบัติแบบนี้ทำไมการแต่งงานครั้งแรกถึงล้มเหลว เหตุผลก็คือการแต่งงานครั้งแรกดิฉันตัดสินใจแต่งงานเพราะหัวใจอย่างเดียวไม่ได้ใช้สมองช่วยพิจารณา และดิฉันเรียนรู้จากความผิดพลาดในการแต่งงานครั้งแรกทำให้การแต่งงานครั้งที่ 2 มีแนวคิดและทัศนคติดังกล่าวมาข้างต้น และจากความล้มเหลวในการแต่งงานครั้งแรกทำให้ดิฉันได้ข้อคิดว่าหากเราไม่สามารถพบคนที่มีความรักความเข้าใจ มีจุดมุ่งหมายในการชีวิตร่วมกันและพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ดิฉันอยู่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตลอดไปดีกว่า เพราะความคิดเช่นนี้หลังจากหย่าดิฉันจึงเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่ 8 ปีจนในที่สุดได้มาเจอกับสามีคนนี้ ซึ่งหลายท่านกล่าวว่าดิฉันโชคดี..ใช่ค่ะดิฉันโชคดีเพราะเลือกที่จะโชคดี เนื่องจากหลังจากหย่าในการแต่งงานครั้งแรกดิฉันก็มีฝรั่งเข้ามาวุ่นวายหลายคน แต่ดิฉันไม่เลือกที่จะคบต่อเพราะส่วนมากดิฉันไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเหล่านั้นมีความจริงใจกับดิฉัน...และท้ายสุดดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อคิด10 ประการของดิฉันจะช่วยเป็นแนวทางสำหรับสาวไทยในการที่จะใช้ชีวิตคู่กับฝรั่งในต่างแดนได้อย่างมีความสุข และขอเป็นกำลังใจให้ภรรยาฝรั่งทุกคนค่ะ/นพฬวรรณ นพเคราะห์ ล็อตแต็ง

กับดอกกุหลาบที่สวนหลังบ้าน ความสุขที่หาได้ง่ายๆในบ้าน

ฟ้าครามกับทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่ Provence สุขที่ได้ท่องเที่ยว